วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หอยเม่น



หอยเม่น หรือเม่นทะเล เป็นหอยทะเลในวงศ์ Diadematidae ชนิดหนึ่งที่มีลักษณะโดยทั่วไปของเปลือกที่แข็งโดยที่รูปแบบของเปลือกนั้นจะมีลักษณะค่อนข้างเป็นทรงกลมสีดำ และที่สำคัญมีหนามแหลมสีดำยื่นออกมารอบตัวคล้ายเม่นด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงเรียกหอยเม่นหรือเม่นทะเลโดยเปลือกนั้นจะทำหน้าที่ในการเป็นเกราะห่อหุ้มป้องกันตัวหอยไว้ หอยเม่นมีชื่อสามัญว่า Long spined sea urchin
ตามปกติแล้วหอยเม่นมักจะอาศัยอยู่ตามแนวปะการังและโขดหินตรงริมหาดทรายใกล้ฝั่งทะเล หอยเม่นเป็นสัตว์อันตรายที่นักดำน้ำทุกคนไม่อยากสัมผัสอย่างแนอน เพราะถ้าหากถูกหนามของหอยเม่นตำเข้า จะรู้สึกปวดมาก เพราะที่หนามของหอยเม่นมีพิษอยู่ครับ หายไปเหยียบเข้าล่ะก็ หนามของมันจะหักคาอยู่ในเนื้อของเราเลยเห็นเป็นจุดดำๆ และดึงออกยาก เพราะผิวของหนามค่อนข้างสาก แม้มีปลายโผล่ ปลายก็จะหักซะก่อน เพราะมันเปราะ

เนื่องจากหนามหอยเม่นมีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบ มันจะสลายไปเองตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ทันใจ แช่น้ำอุ่นก็ช่วยให้มันละลายได้เร็วขึ้นครับ สารที่เป็นกรดต่างๆ เช่น น้ำมะนาว น้ำส้มสายชู ก็ช่วยได้ แต่ต้องระวังมันกัดแผลนะครับ บางคนคงเคยได้ยินว่าให้ฉี่ใส่ อันนั้นก็ช่วยได้เหมือนกันครับ
  


    หอยจำพวกนี้มีหลายชนิดด้วยกันและมีชื่อต่างๆกัน มีชุกชุมในเขตร้อนโดยทั่วไป ตามบริเวณที่รกๆ เช่น 
ตามซากโป๊ะ เสาสะพาน หินปะการัง ตามข้าเกาะ ตามซอกและโพรง เป็นอันตรายสำหรับนักดำน้ำ ชนิดสำคัญที่พบในบ้านเราคือ หอยเม่นชนิดขนยาว(Long Spined หรือ Black Urchin) หอยเม่นชนิดนี้มีมากที่สุดในย่านทะเลเขตร้อน มีหนามอยู่ทั่วตัวเหมือนเม่น เป็นขนยาวประมาณ30 เซนติเมตร ขนนั้นแข็งแต่เปราะ ใช้สำหรับทำอันตรายได้ น้ำพิษของหอยเม่นเข้าใจว่าอยู่ในท่อของหนามที่แหลมคมเหมือนเข็ม มีลักษณะเปราะและหักง่ายมากที่สุดและอยู่ที่ Pedicellariae ซึ่งอยู่ในระหว่างหนามแหลมของมัน เมื่อถูกหนามแหลมของหอยเม่นตำเข้าไปโดยบังเอิญ เนื่องจากหนามของมันเป็นโปรตีน เปราะ และฝังติดแน่น เราไม่สามารถเอาออกได้หมด จะมีอาการคล้ายเข็มแทงหรือตำ แต่การแทงหรือตำนั้นมิได้ตำเพียงอันเดียวการตำจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันนับสิบอัน รอยที่ถูกตำจะแดง บวม ปวด และหนามทุกอันจะหักคาอยู่ในเนื้อ เป็นจุดดำๆ อยู่ทั่วไป ต่อไปจะเกิดอาการชาบริเวณนั้น นายไม่รุนแรงอาการปวดจะหายไปภายในเวลา 30 นาที แต่อาการชาจะมีอยู่ต่อไปถึง 6 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น ในรายที่รุนแรงมากมีอาการปวดมาก ผู้ป่วยแพ้ เกิดอาการชักกระตุก และช็อค อาจถึงตายได้


การรักษา
รักษาอาการปวด โดยใช้ยาแก้ปวด พยายามเอาหนามออกถ้าทำได้ ถ้าไม่สามารถเอาออกได้ให้ใช้ของแข็งทุบให้นามที่อยู่ในเนื้อแตกออกเป็นเศษเล็ก เพื่อจะทำให้ละลายหายไปได้ง่ายและเร็วขึ้น โดยปรกติหนามที่หักคาอยู่นั้น จะสลายตัวไปเองภายใน 24-28 ชั่วโมง แล้วอาการก็หายไป ในรายที่รุนแรงมาก เกิดอาการช็อค 
ก็รักษาไปตามอาการ เหมือนถูกพิษสัตว์ทะเลอื่นๆ  


การป้องกัน
หอยเม่นพวกนี้ชอบอาศัยอยู่ตามซอก โพรง ใกล้หินปะการังข้างเกาะ ดังนั้นการเคลื่นไหวเข้าไปในแหล่งเหล่านี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ บางครั้งเราจะเห็นหอยเม่นชัดเจนรวมกันอยู่เป็นกลุ่มใต้น้ำเห็นเป็นสีม่วงปนดำ มีขนเป็นหนามแหลมอยู่ทั่วตัว ควรหลีกเลี่ยงและไม่ควรจับด้วยมือเปล่า นอกจากใช้ปากคีบขนาดยาว การเดินขึ้นหาดทรายหรือเกาะ ในกรณีที่เรือเล็กไม่สามารถเทียบเข้าหาดได้ นับว่าเป็นอันตรายมาก ควรจะระวังอย่างมาก
แม้ว่าสวมรองเท้ายางก็ไม่สามารถป้องกันได้ แน่นอน เพราะหนามนั้นแหลมคมอาจแทงทะลุขึ้นมาได้  



                                 ข้าวหน้าไข่หอยเม่นแบบพรีเมี่ยมทีเด็ด ชามยักษ์ มีขิงและผักไว้กินแก้เลี่ยนด้วย

   หอยเม่นสามารถนำมารับประทานได้ คนญี่ปุ่นที่ชื่นชอบปลาดิบมาเห็นหอยเม่นเมืองไทยมีเยอะแยะร้องว้าวเลย ให้คนเรือลงไปเก็บมาใส่หลัว เขย่าๆให้หนามมันหักหมด แล้วใช้ช้อนเคาะเอาเหมือนตอกไข่ เปิดด้านบนออกมาแล้วตักไข่สีเหลืองๆออกมา ตัวนึงมีนิดเดียว บางตัวก็ไม่มีเลยครับ ต้องเก็บซักยี่สิบตัวได้มั้งถึงจะได้ไข่มันถ้วยนึง หรือจะนำไปทอดพอเหลืองๆก็ได้แต่คนญี่ปุ่นนิยมกินดิบๆ แต่ถ้าจะแบบไทยๆก็ต้องเอาไข่มายำแบบไทยๆนี่แหละ น้ำปลามะนาวพริกขี้หนูหอมแดงซอย
   ไข่หอยเม่นถ้าไม่สด จะขม และผิวดูแห้งๆ แถมยังคาวอีกด้วย ถ้าใครยังไม่เคยกิน ขอแนะนำให้ลองด่วน แต่ในเมืองไทยหาสดๆกินยากนอกจากจะเป็นร้านที่สั่ง Import มาทางเครื่องบิน ซึ่งราคาก็จะสูงมาก
ยังนึกเสียดายที่สมัยก่อนไม่กล้าลองกิน เป็นเพราะกลัวแพ้อาหารทะเลด้วย ปกติแพ้ กุ้ง ปู ปลาหมึก อยู่แล้ว...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
จาก Internet
medinfo2.psu.ac.th
http://nattach.ai

โมลา โมลา ปลาประหลาดผู้น่ารัก...วินิจ รังผึ้ง


เมื่อสัปดาห์ก่อนที่ผมเขียนเล่าเรื่องปลาเก๋าและปลาหมอทะเลให้อ่านกันนั้น มีข้อมูลความผิดพลาดเคลื่อนบางประการที่ต้องขออภัยท่านผู้อ่านและขอนำข้อมูลที่ถูกต้องมาเรียนให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันในสัปดาห์นี้ ซึ่งข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปก็ตรงที่ผมระบุว่าปลาหมอทะเลได้ชื่อเป็นปลากระดูกแข็งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในท้องทะเลเพราะบางตัวมีน้ำหนักถึง 400 กิโลกรัมนั้น ความจริงยังมีปลากระดูกแข็งอีกชนิดหนึ่งที่มีขนาดมหึมาและใหญ่โตกว่าปลาหมอทะเล ปลาชนิดนี้ก็คือปลาพระอาทิตย์หรือปลาโมลา โมลา (Mola Mola ) ปลาที่มีรูปร่างหน้าตาประหลาดไม่เหมือนปลาอื่นใด ซึ่งบางตัวมีขนาดใหญ่และหนักมากถึง 2,300 กิโลกรัม หรือหนักกว่า 2 ตันเลยทีเดียว เพียงแต่ปลาชนิดนี้ชอบอยู่ใต้ทะเลลึกและน้ำทะเลค่อนข้างเย็น จึงไม่ค่อยมีให้เห็นในท้องทะเลไทย และทำให้เราไม่ค่อยคุ้นเคยหรืออาจจะมองข้ามเจ้าปลายักษ์ใหญ่หน้าตาประหลาดตัวนี้ไป
       

       โมลา โมล่า (Mola Mola) เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของปลาชนิดนี้ แต่ปลายักษ์ใหญ่หน้าตาประหลาดนี้ก็ยังมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อที่แต่ละท้องถิ่นเรียกขานแตกต่างกันไป เช่นภาษาอังกฤษเรียกว่าปลาพระอาทิตย์ Sun fish หรือ Ocean Sun fish ซึ่งอาจจะเรียกตามลักษณะรูปร่างกลมๆใหญ่ๆ หรืออาจจะเพราะปลาชนิดนี้บางครั้งชอบขึ้นมาลอยตัวอาบแดดบริเวณผิวน้ำเพื่อขับไล่ปรสิตที่เกาะติดตามตัว ปลาชนิดนี้เขามีชื่อว่า Ocean Sunfish หรือ Mola Mola เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อไทยไม่มีเพราะไม่พบในน่านน้ำของไทยเรา เลยเรียกกันว่าโมลา โมล่า ทับศัพท์ เขาเป็นปลาประเภทที่มีกระดูกแข็ง (bony fish) ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เฉลี่ยน้ำหนักประมาณ 1 ตัน ขนาดพอๆ กับตัวคน ความยาวเฉลี่ยประมาณเกือบ เมตร ใหญ่สุดที่เคยบันทึกไว้ 3.3 เมตร ใหญ่ไม่ใช่เล่นทีเดียว เป็นปลาอยู่ใน order เดียวกับ pufferfish หรือปลาปักเป้า แต่ว่ารูปร่างประหลาดกว่าปลาทั่วไป ในขณะที่ชาวฝรั่งเศสเรียกปลาพระจันทร์ (Poisson lune) ชาวอิตาลีก็เรียกปลาพระจันทร์ (Luna) เช่นกัน สาเหตุที่เรียกคงไม่ได้มาจากปลาชนิดนี้ชอบขึ้นมาอาบแสงจันทร์แต่คงเพราะรูปร่างที่กลม ๆ ผิวนวล ๆ เนียน ๆ เหมือนพระจันทร์มากกว่า นอกจากนี้ยังมีชื่ออื่น ๆ ซึ่งล้วนเป็นชื่อแปลก ๆ ตามลักษณะของปลาชนิดนี้เช่นปลาหัว เพราะมองดูคล้ายกับมีแต่ส่วนหัว ส่วนลำตัวและส่วนหางถูกตัดออกไป บางประเทศอย่างชาวเยอรมันเรียกแปลกกว่านั้นไปอีกว่า “หัวที่ว่ายน้ำ” (Schwimmender kopf) ซึ่งไม่ว่าจะเรียกอะไร หรือรูปร่างหน้าตาจะแปลกประหลาดพิสดารอย่างไร แต่ก็รับประกันได้ว่าสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลชนิดนี้เป็นปลาครับ และไม่ใช่เป็นปลากระดูกอ่อนอย่างปลากระเบนที่ตัวกลม ๆ กว้าง ๆ คล้ายกัน แต่ปลาโมลา โมล่านี้เป็นปลากระดูกแข็ง และมีคุณสมบัติเพียบพร้อมในความเป็นปลาอย่างสมบูรณ์ เรียกว่าปลาอื่นจะดูถูกมิได้เลยทีเดียว
       

       โมลา โมลา นั้นเป็นปลาในวงศ์โมลิดี ( Molidae ) ในลำดับเทเทราโอดอนทิฟอร์เมส (Tetraodontiformes) ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดกับปลาปักเป้าและปลาวัว แต่ปลาโมลา โมลา ก็มีวิวัฒนาการเฉพาะตัวโดยพัฒนาครีบหลังให้มีขนาดใหญ่ตั้งยาวขึ้นไปข้างบน และพัฒนาครีบก้นให้มีขนาดใหญ่ยื่นยาวลงมาด้านล่างลำตัว โมลา โมลา จะใช้ครีบครีบใหญ่ยาวทั้งสองโบกไปมาเพื่อว่ายน้ำ ในขณะครีบข้างลำตัวทรงโค้งจะมีขนาดเล็กและบาง ๆ เท่านั้นซึ่งแทบจะไม่ใช้ประโยชน์อะไรเลย ส่วนครีบหางจะหดสั้นเข้ามาติดตอนท้ายของลำตัวที่หดสั้นลักษณะเหมือนปลาที่มีแต่ส่วนหัว ไม่มีส่วนลำตัวและส่วนหางเหมือนปลาทั่ว ๆ ไป โมลา โมลา เป็นปลาที่ไม่มีเกล็ด แต่จะมีหนังหนาหยาบและยืดหยุ่น ซึ่งหนังที่หนาและเหนียวเป็นเสมือนเกราะหุ้มตัวไปตามอายุ เพราะปลาโมลา โมลา บางตัวมีหนังหนาถึง 15 มิลลิเมตรเลยทีเดียว แม้นจะเป็นปลาที่หนังหนาและหนังเหนียว อีกทั้งอวัยวะภายในบางส่วนยังมีพิษคล้าย ๆ กับเครื่องในปลาปักเป้า แต่เจ้าปลาโมลา โมลา ก็ยังมีภัยจากการล่าของปลาใหญ่อย่างฉลาม และปลาวาฬเพชฌฆาต ซึ่งแม้นโมลา โมลา จะได้ชื่อว่าเป็นปลาที่วางไข่ครั้งละเป็นจำนวนมากที่สุดในท้องทะเลคือประมาณครั้งละ 300 ล้านฟอง แต่จำนวนไข่ที่มากมายมหาศาลนั้นก็จะเหลือรอดมาเป็นปลาโมลา โมลา ขนาดใหญ่ได้เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น




ปลาโมลา โมลายังถูกรบกวนจากบรรดาปรสิตที่เกาะกินเลือดทำให้ปลาอ่อนแอและเกิดโรคภัยขึ้นได้ เจ้าปลายักษ์ใหญ่รูปร่างประหลาดชนิดนี้จึงชอบที่จะว่ายเข้ามาใกล้แนวปะการังบริเวณที่มีปลาขนาดเล็กช่วยทำความสะอาดให้ ช่วยตอดกินปรสิตที่เกาะตามลำตัว ซึ่งปลาที่ชอบตอดกินปรสิตบนตัวปลาใหญ่นั้นก็เช่นปลาโนรี ปลานกขุนทอง ซึ่งปลาโมลา โมลาส่วนใหญ่ที่ชื่นชอบอาศัยอยู่ในน้ำลึก น้ำเย็นซึ่งมีรายงานว่ามันสามารถลงไปอยู่ในน้ำลึกได้ถึง 400 เมตรหรือกว่า 1,000 ฟุตเลยทีเดียว นั่นจึงทำให้นักดำน้ำมักจะไม่ค่อยได้มีโอกาสพบเจอเจ้าปลาโมลา โมลา นอกจากช่วงเวลาที่มันขึ้นมาในระดับน้ำที่ตื้นราว 20-30 เมตร เพื่อลอยตัวให้ปลาขนาดเล็กทำความสะอาดเก็บกินปรสิตตามลำตัวเท่านั้น
       

       น่าเสียดายที่ตามแหล่งดำน้ำในทะเลไทยของเราไม่มีแหล่งใดที่จะพบเห็นเจ้าปลาโมลา โมลาได้ ไม่เช่นนั้นคงไปดำดูกันซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นแน่ เพราะรูปร่างกลมมนขนาดใหญ่ ปากเล็กๆน่ารัก กริยาท่าทางการว่ายน้ำที่แปลกแตกต่างอย่างเป็นเอกลักษณ์ และที่สำคัญเป็นปลาขนาดยักษ์ใหญ่ ลำตัวกว้างเป็นเมตรสองเมตร หนักเป็นตัน ๆ การได้พบได้เห็นใต้ผืนน้ำ ได้ว่ายน้ำเคียงคู่อยู่ข้าง ๆ คงเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย แหล่งดำน้ำที่ใกล้ที่สุดซึ่งนักดำน้ำบ้านเรานิยมเดินทางไปดำดูก็คือที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งปลาโมลา โมลา จะขึ้นมาลอยตัวให้เห็นกันในระดับน้ำตื้นที่พอจะดำลงไปดูได้ในช่วงประมาณเดือนสิงหาคมของทุกปี ผมเองก็ยังไม่มีโอกาสเดินทางไปดำดู จึงได้ขอภาพจากคุณนัท สุมนเตมีย์ ช่างภาพใต้น้ำสุดยอดฝีมือคนหนึ่งของเมืองไทยมาลงให้ท่านผู้อ่านได้ชมกัน แต่ใช่ว่าปลาโมลา โมลา จะไม่มีในท้องทะเลไทย เพราะเรายังพบเห็นซากเจ้าปลาโมลา โมลา ที่ติดอวนเรือประมงแล้วถูกนำมาสตัฟให้ชมกันอย่างที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสนหรือที่สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ต ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่านั่นอาจจะเป็นปลาโมลา โมลา ที่ถูกจับจากนอกน่านน้ำทะเลไทยแล้วนำมาขึ้นฝั่งที่ท่าเรือประมงในประเทศไทย แต่จากรายงานการพบเห็นล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2549 นั้นก็ยืนยันได้ว่ามีเรือประมงลากอวนเจ้าปลาโมลา โมลา ติดขึ้นมาได้จากแถวใกล้ ๆ เกาะเต่า ซึ่งขึ้นมาก็ยังเป็นๆ อยู่แต่ไม่นานก็ตาย นั่นเป็นเครื่องยืนยันได้ว่ามีปลาโมลา โมลา ในทะเลไทยอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่น่าเสียดายและน่าเสียใจก็คือนั่นอาจจะเป็นโมลา โมลา ตัวสุดท้ายของทะเลไทยก็อาจเป็นไปได้

       
       ผมเองเคยพบเห็นเจ้าปลาโมลา โมลา ตัวจริง ๆ ตัวเป็น ๆ ในชีวิตครั้งหนึ่งก็ที่อควาเรียมเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นซึ่งที่นั่นเป็นอควาเรียมขนาดใหญ่มาก ใหญ่ขนาดจับเอาปลาฉลามวาฬไปไว้ในตู้ให้คนชม และมีเจ้าปลาโมลา โมลา ผู้น่ารักน่าสงสารถูกจับไปขังไว้ให้ชมด้วย ซึ่งในตู้ของเจ้าโมลา โมลานั้น เขาต้องมีแผ่นพลาสติกหนาไสกางกั้นระหว่างปลากับผนังตู้ที่ทำจากอะคริลิกใส เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าปลาโมลา โมลา ผู้มีปากเล็ก ๆ บอบบางว่ายชนผนังจนปากเจ่อ ซึ่งแม้นจะได้ดูได้เห็นเจ้าปลายักษ์ใหญ่ผู้น่ารักตัวเป็น ๆ แต่ก็รู้สึกหดหู่ที่ได้เห็นมันว่ายวนไปวนมาและต้องถูกกักขังอยู่ในตู้แคบ ๆ แทนที่จะมีอิสระเสรีอยู่ในท้องทะเลกว้าง ดำดิ่งลงไปในทะเลลึกได้อย่างที่มันควรจะเป็น...





ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th :
14 มีนาคม 2555 18:04 น.

ภาพจาก Internet

ปลาเก๋าและปลาหมอทะเล...วินิจ รังผึ้ง





   ใต้ท้องทะเลนั้นนอกจากจะมีปลาพยาบาลแล้ว ก็ยังมีปลาหมอทะเลอีกด้วยครับ ซึ่งปลาหมอทะเลนั้นเป็นปลาขนาดใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นปลากระดูกแข็งที่ใหญ่ที่สุดใต้ท้องทะเลเลยทีเดียว เพราะเมื่อโตเต็มที่อาจจะมีความยาวได้ถึงกว่า 2 เมตร หนักถึงประมาณ 400 กิโลกรัมเลยทีเดียว ซึ่งนับเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่และน่าเกรงขามในใต้ท้องทะเล
     แต่บางคนอาจจะแย้งว่าแล้วปลาใหญ่อย่างฉลามวาฬ ปลากระเบนราหูที่มีขนาดใหญ่กว่า มีน้ำหนักเป็นตันล่ะจะไม่ใหญ่กว่าปลาหมอทะเลหรือ ก็ต้องยอมรับว่าปลาทั้ง 2 ชนิดนั้นอาจจะมีขนาดใหญ่กว่าปลาหมอทะเลครับ แต่เจ้ายักษ์ใหญ่ใต้ท้องทะเลทั้ง 2 ชนิดทั้งปลาฉลามวาฬและปลากระเบนราหูนั้นเป็นปลาตระกูลฉลามและกระเบนซึ่งเป็นปลากระดูกอ่อน ไม่ใช่ปลากระดูกแข็ง ดังนั้นเจ้าปลาหมอทะเลจึงครองแชมป์เป็นปลากระดูกแข็งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดใต้ท้องทะเล

                                       
                                          ปลาเก๋าทอด(ภาพจาก Internet)
       แม้นบางคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับปลาหมอทะเลเพราะเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ และชอบอาศัยอยู่ตามใต้ท้องทะเลลึก ใต้ผาหิน เพิงถ้ำใต้น้ำ แต่หากจะบอกว่าแท้ที่จริงแล้วปลาหมอทะเลนั้นไม่ใช่อื่นไกล แต่เป็นปลาในตระกูลเดียวกับปลาเก๋า หรือปลากะรังที่มีมากมายหลากหลายในท้องทะเล และหลาย ๆ ท่านก็อาจจะคุ้นเคยกับรูปร่างหน้าตาของปลาในตระกูลนี้และบางท่านก็อาจจะคุ้นลิ้น เพราะเป็นปลาที่เนื้อมีรสชาติอร่อย เนื้อแน่นหวาน ผู้คนนิยมนำมาทำอาหารไม่ว่าจะเป็นข้าวต้มปลาเก๋า ปลาเก๋าต้มยำ ปลาเก๋าราดพริก ปลาเก๋าสามรส ปลาเก๋าจึงนับเป็นปลายอดนิยมระดับต้น ๆ เลยทีเดียว
       
                                                  ต้มยำปลาเก๋า(ภาพจาก Internet)
       ปลาเก๋า หรือปลากะรัง ( Groupers )นั้นนับเป็นปลาที่มีความหลากหลายของสายพันธุ์ มีขนาดตั้งแต่ลำตัวยาว 50 เซนติเมตรไปจนถึงตัวขนาดใหญ่เกือบ 3 เมตรเลยทีเดียว อีกทั้งปลาในกลุ่มนี้ยังรวมเอาปลาทอง (Basslets หรือ Anthias ) ที่มีขนาดเล็กจิ๋ว มีสีสันสวยงามลำตัวขนาดยาว 6-10 เซนติเมตรเข้าไปด้วย นั่นจึงทำให้มันเป็นครอบครัวที่มีเครือญาติมากมายในท้องทะเล โดยอาศัยอยู่ตั้งแต่น้ำกร่อยตามปากแม่น้ำ ป่าชายเลน ผืนทรายใต้น้ำใกล้ชายฝั่ง ลงไปจนถึงแนวปะการัง กองหิน ถ้ำใต้ทะเลลึก ตามซากเรือจม หรือกองวัสดุใต้ท้องทะเล เป็นปลาที่กินอาหารเก่ง กินตั้งแต่ กุ้ง หอย ปู ปลา หรือสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร โดยปลาในกลุ่มปลาเก๋าหรือปลาหมอทะเลนั้นสามารถจะเปลี่ยนเพศได้ โดยสามารถจะเปลี่ยนเพศจากปลาเพศเมียเป็นปลาเพศผู้ได้เมื่อมันโตเต็มที่ ซึ่งความสามารถในการเปลี่ยนเพศได้ก็เป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้ปลาในกลุ่มนี้สามารถจะดำรงความหลากหลายของสายพันธุ์และจำนวนของสมาชิกให้คงอยู่คู่กับท้องทะเลได้ยาวนานจนถึงปัจจุบัน




ด้วยเป็นปลาที่มีรูปร่างอ้วนป้อมแข็งแรงบึกบึน มีลักษณะโครงสร้างของกระดูกที่แข็งแกร่ง มีปากใหญ่ ขากรรไกรกว้าง มีฟันขนาดเล็กละเอียดจำนวนมากอยู่ในปาก ปลาในกลุ่มปลาเก๋าและปลาหมอทะเลจึงกินอาหารด้วยการอ้าปากดูดฮุบเหยื่อด้วยแรงมหาศาล โดยจะทำการกลืนเหยื่อเข้าไปทั้งตัว และเป็นปลาที่กินอาหารเก่ง เรียกว่ากินไม่ค่อยเลือกขอให้เป็นเหยื่อที่มีขนาดเล็กกว่าที่เหมาะสมกับการฮุบกลืนลงไปในคอ ด้วยคุณสมบัติของการกินอาหารเก่ง โตเร็ว ทนทานต่อสภาพแวดล้อม และเป็นปลาที่ผู้คนนิยมบริโภค จึงมีการนำลูกปลาเก๋าขนาดเล็กที่จับได้ ไปเลี้ยงต่อในกระชัง ซึ่งเมื่อให้อาหารไม่กี่เดือนก็จะได้ปลาเก๋าที่มีขนาดประมาณ 400-600 กรัม ซึ่งเป็นขนาดพอดีจานอันเป็นขนาดที่ตลาดกำลังต้องการและได้ราคาดีที่สุดเพื่อนำส่งขายตามภัตตาคารหรือร้านอาหารทะเล
       สำหรับนักดำน้ำแล้วปลาในตระกูลปลาเก๋านั้นนับเป็นปลาที่นักดำน้ำคุ้นเคย เพราะสามารถจะพบเห็นได้ในทุกหนทุกแห่งของแหล่งดำน้ำเลยก็ว่าได้ โดยกลุ่มที่มีสีสันที่สุดก็น่าจะเป็นกลุ่มปลาทองที่มีตั้งแต่สีชมพูสด สีส้ม สีแดง สีม่วง ซึ่งมักจะอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่มนับร้อย ๆ ตัวตามกอปะการังโครงสร้างแข็ง ส่วนปลาเก๋าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยและพบเห็นได้มากมายในท้องทะเลบ้านเรานั่นก็คือเจ้าปลากะรังแดงจุดน้ำเงิน (Coral rockcod) ซึ่งเป็นปลาเก๋าที่มีสีสันสดใสโดดเด่นและมีมากในแหล่งดำน้ำทางฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งในแหล่งดำน้ำของประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่าง มาเลเซีย อินโดนีเซีย ก็ยังมีให้เห็นไม่มากเหมือนบ้านเรา นอกจากนั้นก็จะเป็นปลาเก๋าที่สีสันไม่ค่อยสดใสนัก โดยส่วนใหญ่จะออกไปในโทนสีน้ำตาล มีลายจุด หรือลายดอกเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้สีสันบนลำตัวของมันกลมกลืนกับสีสันของสภาพแวดล้อมในแนวปะการังเช่นปลากะรังลายนกยูง ปลากะรังลายตุ๊กแก กะรังลายเส้นขาว เป็นต้น
       

       ส่วนปลาเก๋าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกโดยมีขนาดลำตัวยาวเกิน 2 ฟุต อย่างปลาเก๋าดอกดำ ปลาเก๋าดอกหมาก ปลาเก๋ายักษ์ ซึ่งปลาเก๋าขนาดใหญ่ ๆ เหล่านี้หลาย ๆ คนก็เรียกมันว่าปลาหมอทะเล ซึ่งบางตัวก็มีขนาดใหญ่ มีความยาวเกิน 1 เมตร ชอบอาศัยอยู่ตามใต้เพิงหิน หรือในโพรงถ้ำ ตามซากเรือจมในพื้นที่ ๆ มีแสงน้อย ซึ่งปลาหมอทะเลขนาดใหญ่เหล่านี้เป็นที่สนใจของนักดำน้ำเป็นอย่างยิ่ง
       ปลาเก๋าและปลาหมอทะเลนั้น ไม่ว่าจะมีขนาดเล็ก หรือมีขนาดใหญ่ก็มักจะมีนิสัยรักสงบ อาศัยอยู่เป็นที่เป็นทาง และมักจะหวงถิ่น โดยหากมีปลาอื่นว่ายเวียนเข้าไปในพื้นที่อยู่อาศัย ก็มักจะถูกขู่ไล่โดยการลอยตัวนิ่ง ๆ ปักหลักทำท่ากางครีบกางเหงือกให้พองโตน่าเกรงขามเป็นการข่มขู่และเป็นสัญญาณเตือนว่า “อย่ารุกล้ำเข้ามานะ” ซึ่งการลอยตัวนิ่ง ๆ เพื่อเป็นการข่มขู่ หรือการว่ายช้า ๆวนไปวนมาในพื้นที่อยู่ประจำของมันเพื่อประกาศอาณาเขตนั้น นับเป็นช่วงเวลาที่ดียิ่งของช่างภาพใต้น้ำที่จะยกกล้องรอคอยกดชัตเตอร์ในช่วงเวลาที่ได้จังหวะงดงาม ในขณะที่ปลาหมอทะเลขนาดใหญ่ลำตัวยาวกว่า 1 เมตร รูปร่างอ้วนตันราวกับตอร์ปิโดนั้นนับเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจเมื่อยามได้พบเห็น ยิ่งบางตัวที่มีความคุ้นเคยกับนักดำน้ำจนยอมให้นักดำน้ำว่ายเข้าไปใกล้ เข้าไปถ่ายภาพได้อย่างใกล้ชิดชนิดที่เอากล้องจ่อได้ด้วยแล้ว ยิ่งนับเป็นเพื่อนใต้ทะเลที่น่ารักยิ่งนัก
     
  
       ด้วยความเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่และเชื่องต่อผู้คน อีกทั้งว่ายน้ำเชื่องช้าหรือชอบลอยตัวนิ่งๆอยู่กับที่ ปลาหมอทะเลขนาดใหญ่จึงเป็นที่นิยมของบรรดาสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำทั้งหลายที่กำลังฮิตอยู่ในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะมีขนาดใหญ่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้ว ปลาหมอทะเลเหล่านี้ยังทนทานต่อสภาพแวดล้อม เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย กินอาหารเก่ง โตเร็ว อายุยืนและสามารถจะเพิ่มขนาดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว นั่นจึงทำให้มีคำสั่งซื้อจากบรรดาสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำทั้งหลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็มีชาวประมงบางรายทดลองนำลูกพันธุ์ปลาหมอทะเลที่จับได้จากลอบดักปลาหรืออวนจับปู มาเลี้ยงในกระชังใช้เวลาเลี้ยงปีกว่า ๆ ก็จะได้ปลาหมอทะเลที่มีขนาด 10 -15 กิโลกรัม สามารถจะส่งขายเป็นปลาเลี้ยงโชว์ได้ ซึ่งก็เป็นนับเรื่องที่น่าห่วงใยสำหรับเพื่อนตัวใหญ่ใต้ทะเลของผม เพราะนอกจากจะต้องคอยเอาตัวรอดจากการล่าไปแขวนตามร้านข้าวต้มปลา ร้านอาหารทะเลแล้ว วันนี้ก็ยังต้องคอยหนีเอาตัวรอดจากบรรดาสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำอีกทางหนึ่งด้วย...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th :29 กุมภาพันธ์ 2555 16:39 น.




วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ปลาตะกรับ




   ปลาตะกรับ (อังกฤษ: Spotted scat, Green scat) ปลาน้ำเค็มชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scatophagus argus ในวงศ์ปลาตะกรับ (Scatophagidae) มีรูปร่างสั้น แบนข้างและกว้างมาก หัวทู่ ปากเล็ก หางมน เกล็ดเล็ก เป็นแบบสาก สีพื้นลำตัวมีสีแตกต่างกันมากอาจเป็นสีเขียว, สีเทาหรือสีน้ำตาล ครึ่งบนของลำตัวสีเข้มกว่าและมีแถบสีเทาเข้มหรือดำพาดขวางหลายแนวและแตกเป็นจุดที่ด้านล่างหรือเป็นแต้มเป็นจุดทั่วตัวดูล้ายเสือดาว ครีบต่าง ๆ มีสีเหลืองอ่อนอมเทา


   ปลาตัวผู้จะมีหน้าผากโหนกนูนกว่าตัวเมียแต่ขนาดลำตัวจะเล็กกว่าเล็กน้อย เส้นก้านครีบหลังชิ้นที่ 4 จะยาวที่สุด ขณะที่ตัวเมียเส้นก้านครีบหลังเส้นที่ 3 จะยาวที่สุด บริเวณส่วนหัวของตัวเมียบางตัวจะเป็นสีแดง โดยลักษณะดังกล่าวจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อปลามีความยาวมากกว่า 4 นิ้วขึ้นไป




ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึง 38 เซนติเมตร


ปลาตะกรับเป็นปลาทะเลที่สามารถปรับตัวให้อาศัยอยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดสนิทได้ โดยปกติจะอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลใกล้ปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน มีการกระจายพันธุ์กว้างขวางตั้งแต่ตะวันออกกลาง, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียตะวันออกไปจนถึงโซนโอเชียเนีย
   สำหรับปลาในบางพื้นที่มีความหลากหลายทางสีมาก เช่น ปลาบางกลุ่มจะมีลายพาดสีดำเห็นชัดเจนตั้งแต่ส่วนหัว และลำตัวมีสีแดงเข้มจนเห็นได้ชัด ถูกจัดให้เป็นชนิดย่อยที่มีชื่อเรียกว่า "ตะกรับหน้าแดง" (S. a. var. rubifrons)




   เป็นปลาที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่ม กินอาหารได้ทั้งพืชน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็ก นิยมตกเป็นเกมกีฬาและใช้รับประทานเป็นอาหารเป็นที่นิยมอย่างมากโดยเฉพาะในภาคใต้ จะนำไปปรุงเป็นแกงส้ม นอกจากนี้ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามอีกด้วย โดยในที่เลี้ยง ปลาตะกรับเป็นปลาที่สามารถทำความสะอาดตู้ได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถกินตะไคร่น้ำและสาหร่ายบางชนิดได้ แต่เป็นปลาที่มีนิสัยก้าวร้าวพอสมควร ปัจจุบันกรมประมงสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วด้วยวิธีการผสมเทียม โดยฤดูผสมพันธุ์มีตั้งแต่เดือนสิงหาคม-พฤษภาคม ของอีกปีหนึ่ง




ชื่ออื่น ๆ เรียกว่า "กระทะ" หรือ "แปบลาย" ในภาษาใต้เรียกว่า "ขี้ตัง" และชื่อในแวดวงปลาสวยงามจะเรียกว่า "เสือดาว" ตามลักษณะลวดลายบนลำตัว
   ปลาทะเลที่เลี้ยงได้ไม่ยากจนเกินไปนัก เหมาะสำหรับมือใหม่หัดเลี้ยง ซึ่งจะกล่าวถึงข้อดี - ข้อเสีย สำหรับปลาแต่ละตัวไว้สำหรับพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียของปลาแต่ละพันธุ์แต่ละชนิดนะครับ





ปลาตะกรับ (ระดับความง่ายในการเลี้ยง : 10)
ปลาตะกรับเป็นปลาน้ำเค็มชนิดหนึ่ง (Scatophagus argus) มีรูปร่างสั้น แบนข้างและกว้างมาก หัวทู่ ปากเล็ก เป็นปลาที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่ม กินอาหารได้ทั้งพืชน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็ก ปลาตะกรับมีหลายชนิด มีหลายสี มีทั้งตะกรับเขียว ตะกรับฟ้า เป็นต้น





ข้อดี
1.เป็นปลาที่กินอาหารง่ายมาก ทั้งอาหารสำเร็จรูป และ อาหารสด
2.สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมได้แทบทุกสภาวะ เลี้ยงง่าย ตายยาก โตเร็ว
3.เป็นปลาที่ราคาถูก หาได้ง่าย
4.เป็นปลาที่ไม่ดุร้าย สามารถเลี้ยงเป็นฝูงได้ 


ข้อเสีย 
1.เป็นปลาที่มีสีสันไม่ฉูดฉาดเท่ากับปลาชนิดอื่น และสีซีดเมื่อโตขึ้น




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.siamfishing.com
feeding-fish.blogspot.com



วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แมงดาทะเล


                                          แมงดาจาน
   แมงดาทะเล (Horseshoe crab) เป็นสัตว์โบราณที่พบได้ชุกชุมทั่วไปในอ่าวไทย ทั้งฝั่งทะเลด้าน จังหวัดชุมพร ถึงจันทบุรี แมงดาทะเลชอบอาศัยหมกตัวอยู่ตามพื้นโคลน หรือทรายตามชายฝั่งน้ำตื้น บริเวณอ่าว และปากน้ำ ฤดูวางไข่ของแมงดาทะเลเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงกันยายน ฤดูนี้แมงดา จะชุกชุมและมีไข่ซึ่งคนชอบรับประทาน แมงดาทะเลในประเทศไทยมีอยู่ 2 ชนิด คือ แมงดาถ้วย หรือ แมงดาไฟ หรือเห-รา (Carcinoscorpius rotundicauda ) แมงดาชนิดนี้เป็นแมงดาที่มีพิษที่เรียกว่าสาร tetrodotoxin แมงดาจาน (Tachypleus gigas) แมงดาชนิดนี้เป็นแมงดาที่ไม่มีพิษ ชาวบ้านนำมาทำเป็นอาหาร โดยทั่วไปสามารถแยกแมงดาทั้ง 2 ชนิดได้ โดยลักษณะภายนอกคือ แมงดาถ้วยตัวจะเล็กกว่า ขนาดโตเต็ม ที่ไม่เกิน 18 เซ็นติเมตร ลักษณะหางจะกลมและเรียบ ส่วนแมงดาจานตัวจะโตกว่าขนาดเต็มที่อาจโตถึง 30 เซ็นติเมตร ลักษณะเฉพาะคือ ส่วนหางถ้าดูหน้าตัด หางจะเป็นสามเหลี่ยม มุมด้านบนของสามเหลี่ยมจะเป็นรอยหยักชัดเจน 



   ลักษณะเป็นพิษเข้าได้กับอาการเป็นพิษของ tetrodotoxin หรือ saxitoxin ซึ่งยับยั้งการทำงานของ sodium channel โดยตรง อาการเป็นพิษมักเกิดขึ้นภายหลังรับประทานแมงดาทะเลประมาณ 10-45 นาที หรืออาจช้าไปจนถึง 3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับชนิดและแหล่งที่อยู่ของแมงดาทะเล ฤดูกาล จำนวนที่รับประทาน หรือปริมาณของสารพิษที่ได้รับ เช่นรับประทาน ไข่แมงดา อาการพิษจะเกิดรุนแรงกว่ารับประทานเฉพาะเนื้อ อาการมักเริ่มจากมึนงง รู้สึกชา บริเวณลิ้น ปาก ปลายมือ ปลายเท้าและมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง เริ่มจาก มือ แขน ขา ตามลำดับ รวมทั้งอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย บางราย อาจมีน้ำลายฟูมปาก เหงื่อออกมาก พูดลำบาก ตามองเห็นภาพไม่ชัด ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก จะมีผลทำให้กล้าม เนื้อหายใจอ่อนแรง ผู้ป่วยอาจตายภายใน 6-24 ชั่วโมง จากการหยุดหายใจ 
   อาการพิษจากแมงดาทะเลนั้นยังไม่มี antidote เฉพาะ จึงต้องให้การรักษาแบบ supportive โดยเอาสิ่งที่เป็นพิษออกจากร่างกายให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการทำ gastric lavage การให้ activated charcoal และ cathartic อย่างไรก็ตาม ควรเฝ้าระวังดูแลเกี่ยวกับการหายใจ ถ้าหยุดหายใจ อาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ส่วนวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงที่ไม่กินแมงดาทะเลเพราะอาจมีโอกาสเสี่ยงที่จะเจอแมงดาทะเลที่มีพิษได้ แต่สำหรับคนที่ชอบกินแมงดาทะเลแล้วถ้าพบว่าหลังจากการกินแล้วรู้สึกมีอาการชาที่ปาก หายใจไม่ออก ทำการล้างท้อง ล้วงคอทำให้อาเจียน แล้วรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด การใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นการรักษาอาการเบื้องต้น เพื่อช่วยให้คนไข้หายใจได้ หลังจากนั้นก็รักษาตามอาการ แบบเดียวกับการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษโดยทั่วไป ในปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษจากแมงดาทะเล
      มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่พบหนูน้อยวัย 8 ขวบเปิบไข่แมงดาเสียชีวิต สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับ ผู้พิสมัยเมนูไข่แมงดายำ แต่ก็มีข้อถกเถียงกันอยู่มากมายว่า บางคนกินแมงดาทะเลมาเป็นเวลาเกือบสิบกว่าปีทำไมไม่ตาย จากประสบการณ์ที่เล่าต่อกันมาว่าวิธีการกินแมงดาทะเลให้ปลอดภัยคือต้องผ่าเอาเส้นเมาออกก่อนนำมา ปรุงหรือรับประทาน ถึงแม้ว่าจะทำตามขั้นตอนแล้วก็ยังมีข่าวว่า มีคนตายจากการกินแมงดาทะเลอยู่เรื่อยมา จึงมีคำถามที่สงสัยกันอยู่ว่า “จริงหรือไม่ที่กินแมงดาทะเลทำให้ตายได้” แล้วยังมีคำถามต่อไปอีกว่า “แล้วจะกินแมงดาทะเลดีไหม” เนื่องจากรสชาติของแมงดาทะเลโดยเฉพาะไข่ของมันนั้นขึ้นชื่อว่ามีความอร่อยมาก ทำให้คนที่นิยมยำไข่แมงดา มีความรู้สึกไม่มั่นใจในความปลอดภัย ดังนั้นต้องมาทำความรู้จักกับชนิดของแมงดาทะเล และพิษของมันว่าเป็นอย่างไร


                                         

    แมงดาทะเลเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างแปลก เหมือนชามกะละมังคว่ำ ทางด้านหัวโค้งกลม แมงดาทะเลมีเปลือกหนาแข็ง ห่อหุ้มอยู่ทั่วทั้งตัว มีหางแข็งยาว ปลายแหลม ยื่นออกมาหาส่วนท้ายของลำตัว สำหรับใช้ต่างสมอปักลงกับพื้นท้องทะเล เมื่อต้องการนอนนิ่งอยู่กับที่ แมงดาทะเลอาศัยอยู่ที่พื้นทะเลน้ำตื้น ๆ คลานหากินไปตามพื้นทราย กินหอยเล็ก ๆ ปูเล็ก ๆ เป็นอาหาร ศัตรูคือเต่าทะเลและฉลาม แมงดาทะเลตัวผู้กับตัวเมียมีรูปร่างคล้ายกัน แต่ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่ามาก ไข่เป็นเม็ดกลมสีเหลืองขนาดเม็ดสาคู และมีจำนวนหลายร้อยฟอง
 แมงดาทะเลมีกี่ชนิด


                                         แมงดาจาน 


       แมงดาที่พบในทะเลไทยมีอยู่ 2 ชนิดคือ แมงดาจาน หรือแมงดาทะแลหางเหลี่ยม มีขนาดใหญ่ อาศัยอยู่ตามพื้นทะเล วางไข่ตามริมชายฝั่งที่เป็นดินทราย และ


แมงดาถ้วย แมงดาทะแลหางกลม เห-รา หรือ แมงดาไฟ มีขนาดเล็กกว่า แมงดาจานและมีสีส้มหรือน้ำตาลเข้ม อาศัยอยู่ตามพื้นทะเลที่เป็นดินโคลนและตามคลองในป่าชายเลน
ยำไข่แมงดา
เครื่องปรุง 1.ไข่แมงดาทะเล (แมงดาถ้วย 2 ตัว, แมงดาจาน 1 ตัว), 
2.มะม่วงโชคอนันต์ดิบซอย 1 ผล, 
3.ใบสะระแหน่ 2 ต้น, 
4.หอมแดงหั่นซอย 2 หัว, 
5.พริกขี้หนูหั่นซอย 5 เม็ด, 
6.น้ำปลาอย่างดี 1 ช้อนโต๊ะ, 
7.น้ำมะนาว 2 ลูก, 
8.น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนโต๊ะ
วิธียำ 1.นำแมงดาจาน หรือ แมงดาถ้วย ไปนึ่งให้สุก แล้วดึงเส้นพิษออกให้หมด แมงดาจานให้ดึงเส้นพิษตรงกลางออก ส่วนแมงดาถ้วยเป็นความลับที่คุณโยขอเก็บไว้ให้ลูกหลานหากิน จึงไม่ควรนำแมงดาถ้วยมาทำอาหารอันตรายถึงตาย, แต่เราไปซื้อที่เค้าทำสำเร็จแล้วจะดีกว่าค่ะที่มีแต่ไข่น่ะค่ะ
2.ใช้ช้อนขูดเอาไข่ออกจากท้องแมงดาทะเล
3.ผสมเครื่องยำเข้าด้วยกัน คนให้เครื่องปรุงทุกอย่างผสมกันดี จึงนำไข่แมงดาทะเลลงไปผสมยำกับเครื่องปรุงทั้งหมด ชิมรสให้อร่อยตามใจชอบ ชอบเปรี้ยวให้เพิ่มน้ำมะนาวหรือใส่มะม่วงสับลงไป ชอบหวานให้เติมน้ำตาลปี๊บลงไปหน่อย ก็จะได้ยำแมงดาทะเลที่อร่อยแซบ

   แมงดาชนิดไหนที่มีพิษ
       ไข่ของเห-รา หรือแมงดาถ้วย และมีพิษในช่วงเดือน กพ.-มิย.    พิษของแมงดาทะเลอยู่ตรงไหน  พิษของแมงดาถ้วยน่าจะมาจาก 2 สาเหตุคือ 
1. ตัวแมงดาถ้วยไม่มีพิษแต่เกิดจากแมงดาถ้วยไปกินตัวแพลงก์ตอนที่มีพิษ หรือกินหอยหรือหนอนที่กิน แพลงก์ตอนที่มีพิษเข้าไป ทำให้สารพิษไปสะสมอยู่ในเนื้อและไข่ของแมงดาถ้วย
2. ตัวแมงดาถ้วยมีพิษซึ่งเกิดจากแบคทีเรียในลำไส้สร้างพิษขึ้นมาได้เอง
   ความร้อนฆ่าพิษได้หรือไม่
       เมื่อนำไข่หรือเนื้อมาปรุงหรือผัดให้สุกโดยเชื่อว่าความร้อนสามารถฆ่าพิษได้นั้น ความจริงแล้วความร้อนไม่สามารถ ฆ่าพิษได้เลย เนื่องจากเป็นพิษชนิดที่มีผลต่อระบบประสาทที่ความร้อนไม่สามารถทำลายเชื้อได้


   กินแล้วจะมีอาการอย่างไร




      อาการขึ้นอยู่กับปริมาณที่กินเข้าไปมากหรือน้อย มีอาการชาที่ริมฝีปาก มือและเท้า เวียนศรีษะ คลื่นไส้ อาเจียน เดินเซ แขนขาไม่มีแรง พูดไม่ออก กลืนลำบาก หายใจไม่ออก กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจเป็นอัมพาต เนื่องจากพิษของ แมงดาทะเลเป็นพิษต่อระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ในเด็กเล็กจะมีอาการรุนแรงมากกว่าผู้ใหญ่
   จะมีวิธีป้องกันได้อย่างไร
      วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงที่ไม่กินแมงดาทะเลเพราะอาจมีโอกาสเสี่ยงที่จะเจอแมงดาทะเลที่มีพิษได้ แต่สำหรับคนที่ชอบกินแมงดาทะเลแล้วถ้าพบว่าหลังจากการกินแล้วรู้สึกมีอาการชาที่ปาก หายใจไม่ออก ทำการล้างท้อง ล้วงคอทำให้อาเจียน แล้วรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด การใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นการรักษาอาการเบื้องต้น เพื่อช่วยให้คนไข้หายใจได้ หลังจากนั้นก็รักษาตามอาการ แบบเดียวกับการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษโดยทั่วไป ในปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษจากแมงดาทะเล




 แจ้งเตือนการบริโภค แมงดาทะเล ในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ ถึง มิถุนายน เนื่องจากไข่แมงดามีพิษ โดยฤดูผสมพันธุ์เริ่มตั้งแต่ กุมภาพันธ์ ถึง กันยายน มีอาการวิงเวียนศีรษะ ง่วงซึม ใจสั่น


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
http://www.med.cmu.ac.th
http://www.seaanimal.com
http://www.learners.in.th

การกัดเซาะชายฝั่งคือเรื่องใหญ่

  
  ท่านที่เคยผ่านไปตามชายหาดริมอ่าวไทยในช่วงประมาณไม่ถึงสิบปีมานี้ คงจะได้เห็นภาพชายหาดถูกกัดเซาะเกือบทุกจังหวัด ตั้งแต่นราธิวาสใต้สุดขึ้นไปทางทิศเหนือแล้ววกกลับไประยองจนถึงตราด สภาพก็คล้ายๆ กับภาพที่ผมนำมาเสนอข้างต้นนี้ โปรดพิจารณาภาพนี้อย่างละเอียดนะครับ
       
        ชายฝั่งอ่าวไทยของเรายาวเกือบสองพันกิโลเมตร ถ้ามันถูกกัดเข้าไปสัก 20 เมตร ก็ทำให้ประเทศเราต้องสูญเสียพื้นที่ไปประมาณ 40 ตารางกิโลเมตร ไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ มากกว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่ถูกกัมพูชายึดครองไปเกือบสิบเท่าตัว
       
       ผมไม่ได้บอกนะครับว่าเรื่องปัญหาชายแดนไม่สำคัญ สำคัญครับ สำคัญมากด้วย แต่ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเราจะปล่อยไว้อย่างนี้ก็ไม่ได้
       
       คำถามคือมีพรรคการเมืองใดมีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องการกัดเซาะอย่างไรหรือไม่?

       
        ผมได้รับเชิญจากคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ชุดติดตามและประเมินผล) ให้ร่วมแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมขออนุญาตนำบางส่วนมาเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบ แต่ด้วยเนื้อที่และขีดจำกัดในการสื่อสารผมจะพยายามอธิบายด้วยภาพเป็นหลัก ผมจะใช้ทั้งประสบการณ์ในวัยเด็กและวิชาการมาประกอบกัน ไม่ยากอย่างที่บางคนคิดนะครับ
       
       ภาพนี้ถ่ายที่ชายฝั่งบริเวณบ้านบ่อคณฑี ต.ขนาบนาก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช บ้านหลังที่ผมเกิดก็อยู่ริมชายฝั่งทะเลห่างจาก “รอ” ไปทางล่างของภาพไม่เกินหนึ่งกิโลเมตร
        ภาพนี้ถ่ายจากเครื่องร่อนสูงประมาณ 50-60 เมตร เมื่อประมาณ 10 ปีมาแล้ว โดยทีมงานของ รศ.ดร.สมบูรณ์ พรพิเนตรพงศ์

       
       ที่เห็นเป็นแนวยื่นลงไปในทะเลและมีคำว่า “รอ” เป็นสิ่งก่อสร้างทำด้วยซีเมนต์ขนาดใหญ่ กว้างสัก 4 เมตร ยาว 80 เมตร เห็นจะได้ วัตถุประสงค์ก็เพื่อไม่ให้ทรายไปทับถมปิดทางระบายน้ำจากแผ่นดินลงสู่ทะเล
       
        มีคำถาม 2 ข้อ คือ (1) ทรายที่มาทับถมทางระบายน้ำนี้มาจากไหนกัน และ (2) เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่มี “รอ” ขึ้นแล้ว
       
       คำตอบของข้อ (1) คือ ทรายพวกนี้ถูกกระแสน้ำพามาจากทางทิศใต้ของบริเวณนี้ คือมาจากจังหวัดสงขลาซึ่งอยู่ทางล่างของภาพ
       
       ถ้าจะเข้าใจเรื่องนี้ ต้องเข้าใจระบบของกระแสน้ำในอ่าวไทยซึ่งมี 3 กระแสหลัก คือ
       
       (1) จากน้ำขึ้น-น้ำลง วันละ 2 ครั้ง อิทธิพลนี้มีการกัดเซาะชายฝั่งน้อยมากเมื่อเทียบกับกระแสน้ำชนิดอื่น
       
       (2) จากกระแสลมที่ทำให้เกิดคลื่นน้ำกระทบฝั่ง โดยปกติลมในอ่าวไทยก็มีหลายชนิด เช่น ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ตุลาคมถึงมกราคม) คลื่นพวกนี้จะพัดพาเอาทรายไปทิศหนึ่ง แต่พอถึงบางช่วง (มีนาคม) ก็มีลมพัดมาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ คลื่นก็มุ่งไปอีกทางหนึ่ง เป็นต้น


       
       ในสายตาของคนทั่วไปมักเข้าใจว่า กระแสน้ำที่เกิดจากคลื่นประเภทนี้ทำให้เกิดการกัดเซาะมาก เพราะเราเห็นต้นไม้ล้มลงไปกับตา ทรายก็หายไปเห็นๆ แต่ความจริงคือทรายหายไปจาก “สายตาเรา” จริง แต่น้ำได้นำทรายจำนวนนี้ไปกองเป็น “หาดนอกชายฝั่ง” ห่างไปจากเดิมเพียง 40-50 เมตรเท่านั้น พอฤดูกาลเปลี่ยน ทรายพวกนี้ก็จะถูกพัดกลับขึ้นมาเป็นหาดให้ได้เราเห็น ให้เราได้เหยียบอีก
       
       อย่างไรก็ตาม การกัดเซาะชายฝั่งก็เกิดขึ้นจริง ตั้งแต่ผมจำความได้ บางปีกัดก็มาก จนต้นมะพร้าวล้มเป็นแถว บางปีกัดน้อยหรือไม่กัดเลย และบางปีกลับงอกเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
       
       (3) กระแสน้ำที่เกิดจากรูปทรงเรขาคณิตของชายฝั่ง หรือเมื่อมีการก่อสร้างวัตถุรูปทรงที่แข็งตัวลงไปในทะเล (เช่นแท่งซีเมนต์ในรูป) หรือการก่อสร้างท่าเรือ เป็นต้น ก็จะก่อให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง
       
       กลับไปดูรูปบนอีกครั้งครับ หลังจากมีการสร้าง “รอ” ยื่นออกไปในทะเล กระแสน้ำก็เปลี่ยนทิศทาง แล้วก็ไปกัดเอาทรายชายฝั่งบริเวณที่อยู่ทางเหนือของภาพ ทรายที่เคยเคลื่อนตัวไปได้อย่างเสรี ก็ถูกกักไว้ตรงทางทิศใต้ของ “รอ” จะเคลื่อนไปทดแทนทางตอนเหนือก็ไม่ได้ ชายฝั่งที่อยู่ทางเหนือจึงถูกกัดอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีทรายใหม่มาทดแทน คล้ายกับบัญชีธนาคารที่มีแต่ถอนแต่ไม่มีการฝากเพิ่มเลย
       
       เมื่อเป็นดังนี้ ทางราชการก็แก้ปัญหาด้วยการสร้าง “เขื่อนกันคลื่น” ดังที่เห็นในภาพ แต่ทันทีที่หมดเขตเขื่อนกันคลื่นแล้ว ทางเหนือขึ้นไปก็จะถูกกัดอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยไปตลอดชายฝั่ง
       
       รูปข้างล่างนี้ผมยืนถ่ายบนชายหาด เมื่อเดือนเมษายน 2553 ภาพที่เห็นจึงไม่ชัดเจนเหมือนถ่ายจากเครื่องร่อน แต่ก็เป็นบริเวณเดียวกัน



 โปรดสังเกตกองทรายบริเวณใกล้ๆ รอ ที่เคยสะสมมานานอย่างต่อเนื่องนับสิบปีได้หายไปแล้ว แต่กลับมีกองหินขนาดไม่ใหญ่มากนักเข้ามาแทนที่ ท่านผู้อ่านคงจะมีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นในเมื่อทรายในรูปบนอยู่มาได้อย่างยาวนาน แต่จู่ๆ ก็หายไปอย่างรวดเร็ว
       
       คำตอบอยู่ที่รูปล่างสุดครับ คือประมาณปี 2551 มีการสร้างกองหินขนาดใหญ่เป็นช่วงๆ ช่วงละประมาณ 50 เมตร ห่างออกไปจากริมน้ำชายหาดประมาณ 40-50 เมตร จำนวนหลายร้อยกอง


    ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า เมื่อมีสิ่งก่อสร้างที่แข็งลงไปในทะเล กระแสน้ำก็เปลี่ยนไป แล้วผลกระทบก็ตามมาทันทีทันใด คือเกิดการกัดเซาะดังที่เห็นในรูป
       
       เหตุการณ์ที่ผมได้เล่ามาแล้ว มีอยู่เกือบตลอดชายฝั่งอ่าวไทย เริ่มต้นจากการก่อสร้างคอนกรีตที่แข็งตัวเพื่อจะแก้ปัญหาการเคลื่อนตัวของทรายมาถมปากทางระบายน้ำ แล้วตามด้วยการก่อสร้างเพื่อกันการกัดเซาะ ทั้งหมดนี้ไม่ทราบว่าใช้งบประมาณกี่พันล้านบาทเข้าไปแล้ว แต่ความเสียหายกลับขยายวงออกไปเรื่อย


       
       ผู้มีประสบการณ์ท่านหนึ่งกล่าวว่า การก่อสร้างที่ถมลงไปในน้ำ ผู้รับเหมาจะชอบมากเพราะตรวจสอบได้ยาก ผมไม่ได้มองโลกในแง่ร้าย แต่ผมเชื่อว่านักการเมืองก็คงชอบด้วยเหมือนกัน
       
       โดยสรุปเรื่องการกัดเซาะชายฝั่งเป็นเรื่องใหญ่มากทั้งในมิติเรื่องกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่หลายท่านยังเข้าใจผิด และในมิติของการคอร์รัปชันที่สังคมไทยยังคลำทางไม่ถูกว่าจะแก้อย่างไร ผมไม่เห็นพรรคใดสนใจเรื่องนี้เลย สมแล้วครับที่เราต้องโหวตโน เพื่อสั่งสอนครั้งใหญ่...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:

 ประสาท มีแต้ม
www.manager.co.th

ทำไมทะเลจึงมีคลื่น...คำถามจากเด็กอนุบาล


ทำไมทะเลจึงมีคลื่น...คำถามจากเด็กอนุบาล
โดย ประสาท มีแต้ม

   คลื่น หมายถึง ลักษณะของการถูกรบกวน ที่มีการแผ่กระจาย เคลื่อนที่ออกไป ในลักษณะของการกวัดแกว่ง หรือกระเพื่อม และมักจะมีการส่งถ่ายพลังงานไปด้วย คลื่นเชิงกลซึ่งเกิดขึ้นในตัวกลาง (ซึ่งเมื่อมีการปรับเปลี่ยนรูป จะมีความแรงยืดหยุ่นในการดีดตัวกลับ) จะเดินทางและส่งผ่านพลังงานจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งในตัวกลาง โดยไม่ทำให้เกิดการเคลื่อนตำแหน่งอย่างถาวรของอนุภาคตัวกลาง คือไม่มีการส่งถ่ายอนุภาคนั่นเอง แต่จะมีการเคลื่อนที่แกว่งกวัด (oscillation) ไปกลับของอนุภาค อย่างไรก็ตามสำหรับ การแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และ การแผ่รังสีแรงดึงดูด นั้นสามารถเดินทางในสุญญากาศได้ โดยไม่ต้องมีตัวกลาง
   
ลักษณะของคลื่นนั้น จะระบุจาก สันคลื่น หรือ ยอดคลื่น (ส่วนที่มีค่าสูงขึ้น) และ ท้องคลื่น (ส่วนที่มีค่าต่ำลง) ในลักษณะ ตั้งฉากกับทิศทางเดินคลื่น เรียก "คลื่นตามขวาง" (transverse wave) หรือ ขนานกับทิศทางเดินคลื่น เรียก "คลื่นตามยาว" (longitudinal wave)



                                         ภาพจาก Internet



ผมมีเหตุผลสองสามข้อในการนำเสนอบทความชิ้นนี้ คือ
       
       (1) ช่วงนี้มีข่าวเรื่องทะเลมีคลื่นสูงมากและมีผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนชายฝั่ง ดังภาพข้างบนนี้ (2) เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อนเด็กอนุบาลคนหนึ่งซึ่งเคยตั้งคำถามว่า ทำไมทะเลจึงมีคลื่นและลมพัดไปไหน?” และ (3) ตอนที่เกิดสึนามิในประเทศไทย เมื่อน้ำทะเลลดหายไปอย่างรวดเร็วในขณะที่คนจำนวนมากวิ่งกรูกันไปจับปลา แต่เด็กผู้หญิงตัวน้อยชาวต่างชาติคนหนึ่งได้ตะโกนว่าสึนามิ ปรากฏว่าความรู้ที่เธอได้มาจากโรงเรียนทำให้หลายคนได้รอดชีวิต
       
       ปัจจุบันโลกของเรากำลังประสบกับ สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง อย่างรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นเราควรจะมีความรู้ที่เกี่ยวกับธรรมชาติไว้บ้าง เช่นเดียวกับเด็กๆ ในบางประเทศ อย่างน้อยก็เพื่อความเข้าใจและไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ
       
       อ้อ! เด็กอนุบาลที่ตั้งคำถามอย่างแหลมคมเกินวัยคนนี้เธอติดตามพ่อแม่ไปเรียนอนุบาลที่ต่างประเทศ ปัจจุบันเธอจบแพทย์ในเมืองไทยเรียบร้อยไปแล้วครับ ภาพคลื่นกระแทกฝั่งข้างบนนี้ถ่ายจากบ้านหน้าศาล อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยเพื่อนเฟซบุ๊กของผม-ขอขอบคุณด้วยครับ
       
       ก่อนที่จะตอบคำถามว่า ทำไมทะเลจึงมีคลื่น ผมขอกล่าวถึงหลักการพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าท่านผู้อ่านส่วนใหญ่ทราบอยู่แล้ว แต่อาจจะขาดการเชื่อมโยงและขาดการตั้งคำถามที่ชวนให้คิดเท่านั้นเอง รับประกันว่าไม่ยากครับ โปรดอย่าเลิกอ่านเสียก่อนนะครับ เผื่อว่าเมื่อลูกหลานถามจะได้มีคำตอบให้พวกเขา
       
       หลักการในวิชาวิทยาศาสตร์ที่ว่านี้คือ หลักการอนุรักษ์พลังงาน กล่าวว่า ถ้าวัตถุที่เป็นของแข็งเคลื่อนที่จากสองจุดใดๆ จะได้ว่า ผลรวมของพลังงานจลน์ (ที่ขึ้นอยู่กับความเร็วของวัตถุ) กับพลังงานศักย์ (ที่ขึ้นอยู่กับความสูง) ที่จุดทั้งสองของวัตถุนั้นต้องมีค่าเท่ากัน
       
       ลูกมะพร้าวที่อยู่บนต้นมีพลังงานจลน์เป็นศูนย์เพราะไม่มีความเร็ว แต่มีพลังงานศักย์ ถ้าลูกมะพร้าวนี้หล่นลงมาก็จะเกิดความเร็ว นั่นเพราะพลังงานศักย์ถูกเปลี่ยนมาเป็นพลังงานจลน์ ในขณะที่ยังหล่นไม่ถึงพื้น ผลรวมของพลังงานทั้งสองชนิดนี้ที่ตำแหน่งใดๆ ย่อมเท่ากันเสมอ แต่เมื่อหล่นลงถึงพื้นแล้วทั้งพลังงานศักย์และพลังงานจลน์ก็หมดไปเพราะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานที่กระแทกกับพื้นดินและพลังงานเสียงแทน แต่สรุปพลังงานไม่ได้หายไปไหน

                                          ภาพจาก Internet 
       
       เราสามารถใช้หลักการอนุรักษ์พลังงานนี้มาอธิบายการเกิดคลื่นที่เห็นในรูปที่บ้านหน้าศาลได้ ก่อนที่คลื่นจะมาปะทะกับกำแพง น้ำมีพลังงานจลน์ในระดับหนึ่ง แต่ครั้นที่มาปะทะกับกำแพง น้ำก็เคลื่อนที่ต่อไปไม่ได้ แต่ด้วยหลักการที่ว่าพลังงานไม่สูญหายไปไหน พลังงานจลน์จึงถูกเปลี่ยนไปเป็นพลังงานศักย์ น้ำทะเลจึงถูกยกตัวสูงขึ้นดังที่เห็นในภาพ แต่จะสูงขึ้นไปเท่าใดนั้น ผมไม่อยากคำนวณให้ท่านสับสน
       
       มาที่คำถามว่า ทำไมทะเลจึงมีคลื่นคราวนี้สมการอนุรักษ์พลังงานที่กล่าวมาแล้วไม่มีความละเอียดเพียงพอที่จะอธิบายสิ่งที่มีความละเอียดอ่อนมากกว่าสสารที่เป็นของแข็ง ในกรณีที่สสารเป็นของไหล (คืออากาศและน้ำ) หลักการอนุรักษ์พลังงานที่กล่าวมาแล้วต้องเปลี่ยนไปเล็กน้อย คือต้องมีพจน์ที่สาม (นอกจากพลังงานศักย์และพลังงานจลน์) คือความดันของอากาศ
       
        สมการที่แทนหลักการอนุรักษ์พลังงานจึงถูกปรับมาเป็น สมการแบร์นูลลี ดังในภาพล่างทางซ้ายมือ สมการนี้กล่าวอย่างง่ายๆ ว่า ผลรวมของสามพจน์คือ ความดันบรรยากาศเหนือผิวน้ำ พลังงานจลน์ในหนึ่งหน่วยปริมาตรของน้ำที่ถูกลมพัดให้เคลื่อนที่ และพลังงานศักย์ในหนึ่งหน่วยปริมาตรที่จุดใดจุดหนึ่งย่อมมีค่าคงตัว (ดูสมการในภาพประกอบ) 
       
        เมื่อสามพจน์ของของเหลวใดๆ รวมกันแล้วมีค่าเท่ากับค่าคงตัว นั่นแสดงว่าเมื่อพจน์ใดมีค่าลดลงผลรวมของอีกสองพจน์ที่เหลือจึงต้องมีค่าเพิ่มขึ้น เพื่อให้ผลรวมของทั้งสามพจน์มีค่าคงตัว (หรือเท่าเดิม)
     
        โปรดพิจารณาภาพข้างล่างนี้ประกอบครับ



เมื่อลมพัดผ่านผิวน้ำด้วยความเร็วลมไม่ได้คงที่ การแปรผันของความเร็วลมส่งผลให้ความดันอากาศบนผิวน้ำเปลี่ยนไป เนื่องจากพจน์หนึ่งเปลี่ยนไป ย่อมส่งผลให้อีกสองพจน์ที่เหลือเปลี่ยนไปด้วย นั่นคือพลังงานจลน์และพลังงานศักย์มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าความดันอากาศต่ำ ย่อมส่งผลให้ความเร็วของน้ำ (ที่เกิดจากลมพัด) สูงขึ้น ในทางกลับกันถ้าความดันอากาศสูงความเร็วของน้ำก็ลดลง นอกจากนี้ ในขณะที่น้ำถูกยกตัวให้สูงขึ้น (เพราะความกดอากาศต่ำ) กระแสลมก็จะพัดเสริมให้ระดับผิวน้ำสูงขึ้นไปอีก ผิวของน้ำทะเลจึงมีลักษณะเป็นคลื่น ดังภาพประกอบ
       
        ยังมีอีกสองคำถามคือ ลมพัดจากบริเวณที่มีความกดอากาศสูง (หรือมีมวลอากาศมากกว่าเพราะอุณหภูมิของอากาศต่ำ) ไปยังบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำกว่า คำถามสุดท้าย ทำไมในช่วงมรสุมระดับทะเลจึงสูง เรื่องนี้สามารถทำการทดลองได้ง่ายๆ คือลองเทน้ำลงในจานรองถ้วยกาแฟ แล้วลองใช้ปากเป่าลมให้ขนานกับระดับน้ำในจานดู เราจะพบว่าระดับน้ำที่อยู่ปลายลมจะถูกยกให้สูงขึ้น ในขณะที่น้ำด้านที่อยู่ใกล้ปากจะต่ำลง
       
        ในช่วงฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ลมจะพัดเข้าหาชายฝั่งอ่าวไทย ทำให้ระดับน้ำ (คนละอย่างกับคลื่น) ในอ่าวไทยสูงขึ้นกว่าเดิม บางพื้นที่อาจจะสูงได้ถึง 50 ซม.ขึ้นอยู่กับความเร็วลมและลักษณะของพื้นที่ มีผู้พบข้อมูลว่าระดับน้ำฝั่งซ้ายกับฝั่งขวาของทะเลสาบสงขลาสูงต่างกันถึง 20 ซม.
       
        พื้นที่กระดาษหมดแล้ว หวังว่าคงไม่ทำให้ท่านสับสนมากขึ้นนะครับ อย่างน้อยก็เป็นการชวนกันคิดจากเด็กอนุบาล
เมื่อลมพัดผ่านผิวน้ำด้วยความเร็วลมไม่ได้คงที่ การแปรผันของความเร็วลมส่งผลให้ความดันอากาศบนผิวน้ำเปลี่ยนไป เนื่องจากพจน์หนึ่งเปลี่ยนไป ย่อมส่งผลให้อีกสองพจน์ที่เหลือเปลี่ยนไปด้วย นั่นคือพลังงานจลน์และพลังงานศักย์มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าความดันอากาศต่ำ ย่อมส่งผลให้ความเร็วของน้ำ (ที่เกิดจากลมพัด) สูงขึ้น ในทางกลับกันถ้าความดันอากาศสูงความเร็วของน้ำก็ลดลง นอกจากนี้ ในขณะที่น้ำถูกยกตัวให้สูงขึ้น (เพราะความกดอากาศต่ำ) กระแสลมก็จะพัดเสริมให้ระดับผิวน้ำสูงขึ้นไปอีก ผิวของน้ำทะเลจึงมีลักษณะเป็นคลื่น ดังภาพประกอบ


       
        ยังมีอีกสองคำถามคือ ลมพัดจากบริเวณที่มีความกดอากาศสูง (หรือมีมวลอากาศมากกว่าเพราะอุณหภูมิของอากาศต่ำ) ไปยังบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำกว่า คำถามสุดท้าย ทำไมในช่วงมรสุมระดับทะเลจึงสูง เรื่องนี้สามารถทำการทดลองได้ง่ายๆ คือลองเทน้ำลงในจานรองถ้วยกาแฟ แล้วลองใช้ปากเป่าลมให้ขนานกับระดับน้ำในจานดู เราจะพบว่าระดับน้ำที่อยู่ปลายลมจะถูกยกให้สูงขึ้น ในขณะที่น้ำด้านที่อยู่ใกล้ปากจะต่ำลง
       
        ในช่วงฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ลมจะพัดเข้าหาชายฝั่งอ่าวไทย ทำให้ระดับน้ำ (คนละอย่างกับคลื่น) ในอ่าวไทยสูงขึ้นกว่าเดิม บางพื้นที่อาจจะสูงได้ถึง 50 ซม.ขึ้นอยู่กับความเร็วลมและลักษณะของพื้นที่ มีผู้พบข้อมูลว่าระดับน้ำฝั่งซ้ายกับฝั่งขวาของทะเลสาบสงขลาสูงต่างกันถึง 20 ซม.
       
        พื้นที่กระดาษหมดแล้ว หวังว่าคงไม่ทำให้ท่านสับสนมากขึ้นนะครับ อย่างน้อยก็เป็นการชวนกันคิดจากเด็กอนุบาล...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th